เมนู

[1032] ส่วนคนฉลาด มีกำลังบริหารหมู่คณะดี
เป็นประโยชน์แก่เหล่าญาติ เหมือนท้าววาสวะ
เป็นประโยชน์แก่ทวยเทพชาวไตรทศฉะนั้น.
[1033] อนึ่ง ผู้ใดเห็นศีล ปัญญาและสุตะ มี
ในตน ผู้นั้นย่อมประพฤติประโยชน์แก่คนทั้ง
2 ฝ่าย คือทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น.
[1034] เพราะฉะนั้น ธีรชนควรชั่งใจดูตัวเอง
เหมือนชั่งใจดูศีล ปัญญาและสุตะฉะนั้นแล้ว
จึงบริหารหมู่คณะบ้าง อยู่คนเดียวเว้นการ
บริหารบ้าง.

จบ กปิชาดกที่ 9

อรรถกถาปิชาดกที่ 9



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
แผ่นดินสูบพระเทวทัตแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยตฺถ เวรี
นิวสติ
ดังนี้.
ดังจะกล่าวโดยย่อ เมื่อพระเทวทัตเข้าไปสู่แผ่นดินแล้ว ภิกษุทั้ง-
หลายพากันตั้งเรื่องนี้ขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า พระเทวทัตพินาศ

แล้ว พร้อมกับบริษัท. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องไรหนอ ? เมื่อภิกษุ
ทั้งหลาย กราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระ-
เทวทัตพร้อมด้วยบริษัท ไม่ใช่พินาศในแต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน
พินาศเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดกระบี่ มีกระบี่ 500 ตัวเป็นบริวาร
อาศัยอยู่ที่พระราชอุทยานฝ่ายพระเทวทัตก็เกิดในกำเนิดกระบี่ มีกระบี่
500 ตัวเป็นบริวาร อาศัยอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเหมือนกัน. อยู่มา
วันหนึ่ง เมื่อปุโรหิตไปอุทยานอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไป กระบี่เกเรตัว
หนึ่งเดินไปก่อน นั่งเจ่าอยู่บนยอดเขาซุ้มประตูอุทยาน ถ่ายอุจจาระรด
ศีรษะของท่านปุโรหิต เมื่อท่านมองดูข้างบนก็ถ่ายรดหน้าอีก. ท่านหัน
กลับมาขู่พวกกระบี่ว่า เอาไว้ก่อนเถอะ ข้า ฯ จักแก้มือพวกแกภายหลัง
แล้วอาบน้ำอีก จึงได้หลีกไป. พวกกระบี่ได้บอกพระโพธิสัตว์ ถึงการที่
ปุโรหิตนั้นผูกเวรแล้วขู่พวกกระบี่. พระโพธิสัตว์ได้บอกให้กระบี่ตั้งพัน
ทราบว่า ขึ้นชื่อว่า ในสถานที่อยู่ของคู่เวรไม่ควรอยู่ ฝูงกระบี่ทั้งหมด
จงพากันหนีไปในที่อื่นเถิด. ฝ่ายกระบี่หัวดื้อพาเอากระบี่ที่เป็นบริวารของ
ตนไปไม่หนีโดยคิดว่า ภายหลังเราจักรู้เองจึงจะไป. ส่วนพระโพธิสัตว์
พาเอาบริวารของตนเข้าป่าไป. อยู่มาวันหนึ่ง แพะตัวหนึ่งกินข้าวเปลือก

ที่นางทาสีคนหนึ่งผึ่งแดดไว้ ถูกตีด้วยดุ้นไฟมีไฟไหม้ที่ตัววิ่งหนีไปถูตัว
ที่ยอดกระท่อมหญ้าหลังหนึ่งชิดโรงช้าง. ไฟนั้นติดกระท่อมหญ้า. ลาม
จากกระท่อมหญ้าไปติดโรงช้าง. ลามจากโรงช้าง ก็ไหม้หลังช้าง. หมอ
รักษาช้าง ก็รักษาพยาบาลช้าง. ฝ่ายปุโรหิตกำลังพิจารณาหาอุบายจับ
วานรอยู่. ครั้นพระราชาตรัสสั่งถามท่านที่มาเฝ้าว่า อาจารย์ ช้างของ
เราเป็นแผลเปื่อยกันหลายเชือก หมอรักษาช้างไม่รู้จักการรักษา อาจารย์
รู้ยาอะไรบ้างหรือไม่ ?
ปุโรหิตทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์รู้
รา. อะไรล่ะ ?
ปุ. ข้าแต่มาหาราช มันเหลวของวานร พระพุทธเจ้าข้า-
รา. เราจักได้ที่ไหน ?
ปุ. ที่พระราชอุทยานมีวานรมากมิใช่หรือ พระพุทธเจ้าข้า
รา. ท่านทั้งหลาย จงฆ่าวานรที่พระราชอุทยาน นำเอามัน
เหลวมา.
คนแม่นธนูจึงพากันไปยิงวานรทั้ง 500 ตัวให้ตายหมด. แต่
หัวหน้าวานรตัวเดียวหนีไปได้ ถึงถูกยิงด้วยลูกศร แต่ก็ไม่ล้มตาย ณ
ที่นั้นทีเดียว ไปถึงที่อยู่ของพระโพธิสัตว์แล้ว จึงล้มตาย. พวกวานร
บอกพระโพธิสัตว์ถึงการที่มันได้ถูกยิงว่า หัวหน้าวานรมาถึงที่อยู่ของ

พวกเราแล้วก็ตาย. พระโพธิสัตว์มานั่งที่ท่ามกลางฝูงวานรพูดว่า ธรรม-
ดาว่าพวกไม่เชื่อโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย อยู่ในที่อยู่ของคู่เวร จัก
พินาศอย่างนี้ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยสามารถแห่งการตักเตือนฝูง
วานรว่า:-
ผู้จองเวรอยู่ ณ ที่ใด บัณฑิตไม่ควรอยู่
ณ ที่นั้น ในที่มีคนจองเวร อยู่คืนเดียวหรือ
2 คืน ก็เป็นทุกข์. คนที่เป็นหัวหน้าใจเบา
เมื่อคนใจเบาคล้อยตาม เขาจะทำหน้าที่จองเวร
เพราะเหตุแห่งกระบี่ตัวเดียว เขาได้ทำความ
ย่อยยับให้กระบี่ทั้งฝูง. ก็คนพาลสำคัญตนว่า
เป็นบัณฑิต บริหารหมู่คณะลุอำนาจความคิด
ของตน คงนอนตายเหมือนวานรตัวนี้ฉะนั้น.
คนโง่แต่มีกำลังบริหารหมู่คณะก็ไม่ดี ไม่เป็น
ประโยชน์แต่เหล่าญาติ เหมือนนกต่อ ไม่เป็น
ประโยชน์แก่นกทั้งหลายฉะนั้น. ส่วนคน
ฉลาดมีกำลังบริหารหมู่คณะดี เป็นประโยชน์
แก่เหล่าญาติ เหมือนท้าววาสวะ เป็นประโยชน์
แก่ทวยเทพชาวไตรทศฉะนั้น. อนึ่ง ผู้ใดเห็น

ศีล ปัญญาและสุตะ มีในตน ผู้นั้นย่อม
ประพฤติประโยชน์แก่คนทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้ง
แก่ตนเองและผู้อื่น. เพราะฉะนั้น ธีรชนควร
ชั่งใจดูตัวเองเหมือนชั่งใจดูศีล ปัญญาและ
สุตะฉะนั้นแล้ว จึงบริหารหมู่คณะบ้าง อยู่คน
เดียวเว้นการบริหารบ้าง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลหุจิตฺตสฺส ความว่า พึงเป็นผู้มี
ใจเบา มีคำอธิบายว่า คนใดคล้อยตาม คืออนุวัตรตามมิตรหรือญาติ
ผู้ใจเบา เมื่อคนนั้นคล้อยตาม เขาก็จะเป็นหัวหน้าใจเบา ทำหน้าที่
ของผู้จองเวร. บทว่า เอกสฺส กปิโน ความว่า สูเจ้าทั้งหลายจงดู
เถิด เพราะเหตุกระบี่ใจเบาคือเป็นอันธพาลตัวเดียว เขาได้ทำความย่อย-
ยับ คือความไม่เจริญ ได้แก่ความพินาศใหญ่หลวงนี้ให้แก่กระบี่สิ้นทั้ง
ฝูง. บทว่า ปณฺฑิตมานี มีเนื้อความว่า ผู้ใดรู้ตนเองเป็นคนโง่ แต่
สำคัญตนว่า เราเป็นผู้ฉลาด ไม่ทำตามโอวาทของท่านผู้ฉลาด ตกอยู่
ในอำนาจความคิดของตน ผู้นั้นจะลุอำนาจความคิดของตนแล้ว คงนอน
เหมือนกะบี่หัวดื้อตัวนี้แหละนอนตายอยู่. บทว่า น สาธุ ความว่า
ธรรมดาคนโง่ แต่มีกำลังพร้อมบริหารหมู่คณะ ย่อมไม่ดี คือไม่ปลอด-
ภัย เพราะเหตุไร เพราะเขาไม่มีประโยชน์สำหรับเหล่าญาติ คือนำ

ความพินาศมาให้อย่างเดียว. บทว่า สกุณานํว เจกโต ความว่า
อุปมาเสมือนหนึ่งว่า บรรดานกกระทาทั้งหลาย นกกระทำที่เป็นนกต่อ
ขันทั้งวัน ก็ไม่ทำให้นกชนิดอื่นตาย ทำให้พวกพ้องของตนเท่านั้น
แหละตาย ฉันใด คนโง่ก็ไม่มีประโยชน์แก่หมู่คณะเหล่านั้นเลย อธิ-
บายว่า ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า หิโต ภวติ ความว่า ธีรชน เป็น
ผู้ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่เหล่าญาตินั่นเอง ด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง.
บทว่า อุภินฺนมตฺถํ จรติ ความว่า คนในโลกนี้ ผู้ที่มองเห็นคุณ-
ธรรมเหล่านั้นมีศีลเป็นต้นในตนรู้ว่า อาจาระและศีลของเราก็มี ปัญญา
ก็มี การศึกษาเล่าเรียนก็มี ทราบตามความจริงแล้วบริหารหมู่คณะ
ชื่อว่าประพฤติประโยชน์ถ่ายเดียวแก่คนทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งแก่ตนและผู้
อื่น ได้แก่เหล่าญาติผู้เที่ยวห้อมล้อมตน. บทว่า ตุเลยฺยมตฺตานํ ตัด
บทเป็น ตุเลยฺย อตฺตานํ คือชั่งใจดูตัวเองแล้ว. บทว่า ตุเลยฺย
ได้แก่ ตุเลตฺวา คือชั่งใจดูตัวเองแล้ว. บทว่า สีลํ ปญฺญํ สุตํปิว ความว่า
พิจารณาดูคุณธรรมทั้งหลาย มีศีลเป็นต้นในตนอยู่ ชื่อว่าประพฤติ
ประโยชน์แก่คนทั้ง 2 ฝ่าย ฉะนั้น ธีรชนควรชั่งใจดูตนเอง เหมือน
บัณฑิตชั่งใจดูคุณธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านั้น คือ พิจารณาดูว่าเราดำรง
อยู่แล้วในศีล ในปัญญา ในสุตะหรือไม่ ? ทำความที่ตนดำรงอยู่ใน
คุณธรรมเหล่านั้นให้ประจักษ์แล้ว จึงบริหารหมู่คณะบ้าง อยู่คนเดียว

ใน 4 อิริยาบถ เว้นการบริหาร คือเปลี่ยนแปลงบ้าง เพราะว่าผู้จะ
ให้บริษัทอุปัฏฐากบำรุงก็ดี ผู้ประพฤติวิเวกก็ดี ควรจะประกอบด้วย
คุณธรรม 3 อย่างเหล่านี้ทีเดียว.
พระมหากษัตริย์เป็นถึงขุนกระบี่ คือพระยาวานร จึงบอกหน้าที่
เกี่ยวกับวินัยและการศึกษาเล่าเรียนได้.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า วานรหัวดื้อในครั้งนั้น ได้แก่พระเทวทัตในบัดนี้ ฝ่าย
บริวารของวานรหัวดื้อ ได้แก่บริวารของพระเทวทัต ส่วนขุนกระบี่ผู้
ฉลาดได้แก่เราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถากปิชาดกที่ 9

10. พกพรหมชาดก



ว่าด้วยศีลและพรตของพกพรหม



[1035] ข้าแต่พระโคดม พวกข้าพระองค์มี 72
คน ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว มีอำนาจแผ่ไป
ล่วงความเกิดและความแก่ไปได้ การเกิดเป็น
พรหมนี้. เป็นอันติมชาติ ชาติสุดท้าย จบ
ไตรเพทแล้ว คนจำนวนมากเอ่ยถึงพวกข้า
พระองค์.
[1036] ดูก่อนพรหม ความจริงอายุของท่านนี้
น้อยไม่มากเลย แต่ท่านสำคัญว่าอายุของท่าน
มาก จำนวนแสนนิรัพพุทะ ดูก่อนพรหม เรา
ตถาคตรู้อายุท่าน.
[1037] ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัส
ว่า เราตถาคตเป็นผู้เห็นไม่มีที่สิ้นสุด สัพพัญญู
ก้าวล่วงชาติชราและความโศกแล้ว ขอพระ-
องค์จงตรัสบอก การสมาทานพรต ศีลและ